
English Translation:
- In the future.
Reference:
เมื่อปี 46 ผมได้มาอยู่ในสถานที่ ที่แวดล้อมไปด้วยการทำงานเพียงลำพัง
(ในความหมายของคำว่า "ลำพัง" ไม่ใช่ไม่มีคนในที่ทำงาน แต่มีก็เหมือนไม่มี
ไร้ซึ่งการให้ความช่วยเหลือใดๆ เข้าใจ เพราะว่าทุกคนกำลังปั่น งานเยอะ และยากจะเจียดเวลา
เป็นภาวะที่เครียดพอควรเลย ถ้าคุณต้องเข้าไปทำงานใหม่ที่หนึ่ง แล้วเจอแบบนี้ -*-)
ไม่มีคนที่คอยเอาใจใส่ ให้ความรู้และความเข้าใจระบบที่กำลังดำเนินอยู่
ความรู้สึกเหมือนอยู่กลางทะเลทรายที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่า ไร้ผู้คน เหมือนอยู่คนเดียว
พอต้นปี 47 เพื่อนร่วมงานใหม่ เข้ามาทำงานในตำแหน่งเดียวกัน
เธออายุมากกว่าผม 3 ปี จบจากที่เดียวกับพี่สาวผม แถมรุ่นเดียวกันอีกด้วย
ผมรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า ผมไม่อยากให้เธอรู้สึกเหมือนตอนที่ผมเข้ามาใหม่ๆ
สิ่งที่พอทำได้ คือการพยายามช่วยเหลือ ให้ความรู้ (อันน้อยนิดในเรื่องที่รู้) เมื่อติดปัญหา
และเราก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันขึ้นตามกาลเวลา
การทำงานในช่วงนั้น เป็นการทำงานแบบโหดผิดปกติ เพราะการกลับบ้านจะเกิดขึ้นดึกๆ แทบตลอด
ยิ่งทำให้เวลาที่ได้ทำงานด้วยกันในแต่ละวัน มีมากกว่า 15 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่ แต่ไม่เสมอไป)
ความสนิทยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก... ผมคิดว่าการที่เราสนิทกับใครซักคน ในการทำงาน
ทำให้เรามีความรู้สึกว่า การทำงานไม่หนัก อาจเป็นความคิดโง่ๆ ของคนแบบผม
ที่คิดว่าการทำงาน คือการได้อยู่กับคนที่เรารู้สึกดี ไม่ใช่เรื่องเงินเดือน หรือจำนวนงานที่ต้องทำ
ยอมรับว่างานเยอะมากในช่วงนั้น ทำไม่หมดไม่สิ้น กลับดึก มาไม่สายมาก แทบทุกวัน
แต่เพราะเพื่อน ทำให้ผมไม่รู้สึกว่าการทำงานเป็นไปอย่างทรมาน
กลับเป็นความสุขที่ พรุ่งนี้เราจะได้ไปพบเพื่อนที่เราอยากพบ ทำให้งานเดินหน้าไปได้
ในสภาวะ ทำงานกึ่งมนุษย์จักรกล (ทำงาน จันทร์ - เสาร์ (หรืออาทิตย์)
และทำงานประมาณ 15 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มี OT)
เมื่อนึกถึงวันเหล่านั้น ในส่วนของการโทรศัพท์ ผมมักเป็นฝ่ายโทรไป
เพื่อสอบถามถึงเรื่องไร้สาระ บ้าบอ นินทา อะไรต่างๆนานา เสมอๆ
อาจเป็นเพราะเราคุยกันและเจอกันตลอด ทำให้เพื่อนไม่ถือสา (แต่มักวางสายเร็ว ฮ่าๆ)
แต่ก็มีบางครั้งที่เพื่อนโทรมาคุยยาวนาน ปรึกษาปัญหาเรื่องแฟน หรือเรื่องกลุ้มใจ
แต่ไม่บ่อย เนื่องจากการเป็นคนประหยัดค่าโทรศัพท์ ผมเข้าใจและไม่ได้คิดอะไรมาก
ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยเป็นฝ่ายโทรมาหาผม
แต่วันหนึ่ง ซึ่งผมจำมาจนทุกวันนี้ และเป็นเหมือนกำลังใจให้ผมเสมอเวลาที่ผมเหนื่อย
สมัยนั้น ผมยังขับรถไปทำงาน เพราะรถไฟฟ้าใต้ดินยังไม่เสร็จ
ขณะขับรถไปทำงาน วันนั้น ผมไปสาย ไม่แน่ใจว่าเพราะเมื่อคืนก่อนผมกลับดึกมาก
หรือเพราะผมตื่นสายเอง เพื่อนโทรมาหาผม ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เสียงในสาย ผมจำรายละเอียดไม่ได้
"วันนี้ป่วยเหรอ ทำไมยังไม่มาอีก"
ใช่ มันฟังดูไม่ค่อยเป็นคำพูดที่เป็นคำแห่งความห่วงใยอะไร
แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกได้ว่า นี่คือการแสดงความห่วงใยจากเพื่อน
ผมรู้สึกว่านี่แหล่ะ สำคัญมาก กับการที่เราจะมีเพื่อนซักคน
เพื่อนที่ไม่ต้องมีความลับ เพื่อนที่เราสามารถคุยได้ทุกเรื่อง
เพื่อนที่ไม่จำเป็นต้องพูดเข้าข้างเรา ด่าเราได้ถ้าเห็นไม่ตรงกัน
เพื่อนที่อาจจะทะเลาะกันบ้าง บางครั้ง แต่ทุกอย่าง อยู่บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อน
หลังจากโปรเจคโหดที่ทำให้เราต้องทำงานกันหนักจบลง เราก็ย้ายกลับมาที่บริษัท
(ช่วงที่ทำโปรเจค เราต้องไปอยู่ที่ตึกของลูกค้า)
มีช่วงหนึ่งที่งานซาลงเรื่อยๆ และในที่สุด เพื่อนคนนี้ของผมก็ลาออกไป
ผมยังคงโทรไปหาเธอเสมอ และยังนัดเจอกัน เสมอ
แทบจะเรียกว่า แม้ไม่ได้ทำงานด้วยกัน แต่ก็คุยกันตลอด
ผมจะเล่าเรื่องปัญหาให้เธอฟัง เหมือนเป็นคนที่ผมจะระบาย
บางครั้งเธอมีปัญหา และไม่ชอบใครบางคนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงาน
อาการนั้นก็เหมือนส่งผ่านมาที่ผม เหมือนเพื่อนเราเกลียดใคร เราก็เกลียดด้วย
ผมคิดว่า ผมคงหาเพื่อนที่ผมสนิทและรู้สึกสบายใจแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
มันก็แปลกดี ที่บางครั้งเราจะมีเพื่อนที่เรารักมาก ซักคน บางทีดูจะยากเย็น
หลังจากที่เธอลาออกไป ผมก็ไม่ได้มีเพื่อนสนิทแบบนี้อีกเลย
คือจะบอกว่ายากที่เราจะเจอเพื่อนซักคน จากที่ทำงาน ที่ทำให้เรารู้สึกว่า ใช่เลย เพื่อนสนิท
มันยากที่จะบอกว่า เราจะหาเพื่อนแบบนี้ได้อีกไหม
ชีวิตคนเราอาจผ่านอะไรมามากมาย แต่การจะได้มีโอกาส พบสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะสม
บางคนทั้งชีวิต อาจจะไม่เคยได้พบเลย แต่ผมดีใจ อย่างน้อยผมก็พบแล้ว
เมื่อปลายปีที่แล้ว เธอได้เดินทางไปต่างประเทศ เป็นการตัดสินใจแบบวางแผนมานาน
ที่เธอบอกกับผม... ทีหลัง
"พี่มีเรื่องจะบอก แต่ไม่บอกในโทรศัพท์ ไว้เจอกันจะบอกนะ" เธอบอกผมแบบนี้ สุดท้าย เรื่องนี้ก็ถูกบอก
โดยผ่านทางโทรศัพท์อยู่ดี
จริงๆผมก็ไม่ได้ตกใจหรอก เพราะเคยได้ยินเรื่องที่เธออยากไปตั้งชีวิตใหม่ที่ประเทศนั้นมานานแล้ว
ตั้งแต่สมัยเราทำงานด้วยกัน แต่ผมก็เสียใจเล็กน้อยที่ผมคงไม่มีคนให้คุยเวลามีปัญหาในการทำงาน
เวลาเครียด หรือเวลาที่อยากมีใครซักคนให้ระบายอีกแล้ว
ผมติดต่อเธอผ่าน email ได้ในช่วงแรกที่เธออยู่ที่นั่น
แต่ช่วงหลังเธอไม่ตอบ email อีกแล้ว แต่ email สุดท้ายที่ผมได้รับจากเธอ
เธอเหมือนตัดพ้อว่า หลายคนไม่น่าเข้าใจเธอ ที่ออกจากงานที่มีหน้าที่การงานดี
มีเงินเดือนสูง แล้วไปทำงานแบบเริ่มต้นใหม่ เพื่อเป็น citizen ของที่นั่น
โดยไม่ได้มีเงินไปตั้งตัวมากมายอะไร ยอมทำงานทุกอย่าง แม้แต่งานที่เน้นแรงงานมากกว่าสมอง
ผมคิดว่าคนเราควรตั้งเป้าหมายในชีวิต และเดินตามความฝันนั้น
นอกจากนี้ ใน email ฉบับสุดท้ายที่ได้รับจากเธอ เธอบอกว่า เธอเริ่มจะไม่ติดต่อกับเพื่อนคนไหนแล้ว
เหมือนเป็นสัญญาณเตือน ผมได้รับการตอบ email นี้ ... ไม่ใช่ว่าผมเป็นเพื่อนพิเศษของเธอ
แต่นี่ คือ email ตอบจากเธอเป็นครั้งสุดท้าย (ซึ่งผมไมได้เอะใจเลย)
ผมแค่ทำหน้าที่ของผมต่อไป คือพยายามติดต่อเธอไปอีกสามสี่ครั้ง ... ไม่มีอะไรตอบกลับ
ก่อนเธอจะเดินทางไปประเทศนั้น เป็นช่วงงานสัปดาห์หนังสือ (เดือน ตค 51)
ตอนแรก เธอจะเดินงานนี้กับผมตอนเย็นหลังผมเลิกงาน เพราะจะซื้อหนังสือ Sodoku ไปเล่นบนเครื่องบิน
ผมคิดในใจ มันใกล้วันเดินทางมาก เธอไม่ได้น่ามาได้ และก็เป็นเช่นนั้น แต่ผมก็ไปเดินหาซื้อให้เธอ
เธอให้ผมหา Dictionary ให้ด้วย แต่ผมไม่ได้หาซื้อ เพราะผมจะให้ Franklin Dict เธอ
เหมือน Talking Dict เพียงแต่แปล Eng - Eng ได้เท่านั้น และไม่มี Speaker พูด
จริงๆ ผมต้องการให้เธอใช้มัน และระลึกถึงผมบ้าง ก็เท่านั้น
วันนี้ผมเขียนถึงเธอยาวมาก เพราะเป็นวันเกิดของเธอ ผมส่ง email ไปอวยพรวันเกิดแล้ว
แต่ผมไม่ได้คาดหวังอะไรตอบกลับจากเธอ ... ตอนนี้เธออาจกลับมาเมืองไทยแล้วก็ได้
หรือไม่เธอก็กำลังต่อสู้เพื่อตั้งตัวให้ได้ในประเทศนั้น จนไม่มีเวลาคิดถึงอะไรทั้งนั้น
อาจทำงานอย่างหนัก แบบกลับมาบ้านก็หัวถึงหมอนเลยก็ได้
เอาเป็นว่า ผมจะรอ..วันที่ผมได้ติดต่อเธอกลับอีกครั้ง
และวันนั้น คงเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดอีกวัน ในชีวิตที่...
ไม่มีใครอยากอยู่คนเดียว ไร้เพื่อน เหงาตลอดเวลา
แต่ใช่ว่าทุกคนจะพบความสุขได้เสมอไป
บางคนเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะมาก คบคนง่าย
แต่หาเพื่อนสนิทไม่ได้เลย
แต่บางคนแทบจะนับหัวเพื่อนได้เลย
ไม่เอาใครทั้งนั้น แต่กลับมีเพื่อนสนิท
ที่รักมากๆ อย่างน้อยที่สุด หนึ่งคน
คุณก็คงรู้แล้ว ณ เวลานี้ ว่าผมเป็นคนแบบไหน
วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ วันเกิดที่สมัยที่เราทำงานด้วยกัน วันเกิดของเรา จะมีการผลัดกันไปเลี้ยง
วันเกิดปีนี้ เธอไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่เธออยู่ในความทรงจำของผมเสมอ
สุขสันต์วันเกิดครับ พี่...